20 กุมภาพันธ์ 2553

วิธีการปรุงยาสมุนไพร

วิธีการปรุงยาสมุนไพร 
          สมุนไพร นอกจากเราจะสามารถใช้สดๆ กินสดๆ หรือกินเป็นอาหารแล้ว ยังมีวิธีการปรุงยาสมุนไพรมากมายหลายวิธีเพื่อให้ได้สมุนไพรในรูปแบบที่เหมาะสมมีประสิทธิภาพในการรักษาโรค ใช้ได้สะดวก มีรสและกลิ่นที่ชวนกิน อีกทั้งยังสามารถพกพาได้สะดวกและเก็บไว้ได้นาน
          การใช้สมุนไพรในการรักษาโรคต่างๆ นั้นก็ไม่ต่างกัน ยาถึงจะมีสรรพคุณดีแค่ไหน ถ้าปรุงไม่เป็นใช้ไม่ถูกวิธีก็อย่าหวังจะได้ยาดี นักนิยมสมุนไพรทั้งหลายจึงควรมีความรู้ขั้นพื้นฐานในการปรุงยากันไว้บ้างนะครับ...
  • การชง (Infusion)
          การชงเป็นวิธีพื้นฐานและง่ายสำหรับการปรุงยาสมุนไพร  มีวิธีการเตรียมเหมือนกับการชงชา  โดยใช้น้ำเดือดเทลงไปในสมุนไพร  ใช้ได้ทั้งสมุนไพรสดและแห้ง  แต่มักใช้สมุนไพรตากแห้งทำยาชงหรือบดเป็นผงชงกับน้ำร้อนก็ได้  ภาชนะที่ใช้ชงยาควรเป็นกระเบื้องแก้วหรือภาชนะเคลือบ  ไม่ควรใช้ภาชนะโลหะ  ควรชงยาสมุนไพรสดใช้ในแต่ละวัน ชงแล้วดื่มทันที  ไม่ทิ้งไว้นานดื่มวันละ 3  ครั้ง  ดื่มร้อนหรือเย็นก็ได้  สมุนไพรบางชนิดที่มีสรรพคุณไม่รุนแรง  ใช้ดื่มแทนน้ำได้  เช่น ขิง  มะตูม  เก๊กฮวย  เป็นต้น
    • ใส่สมุนไพรลงในกาหรือหม้อชงยา  1  ส่วน  เติมน้ำเดือด  10  ส่วน  ปิดฝาทิ้งไว้  10  นาที
    • รินยาผ่านตะแกรงหรือผ้าขาวบางลงถ้วย  เพื่อกรองเศษสมุนไพรที่ติดมากับน้ำยา  แล้วนำไปดื่มได้  เก็บส่วนที่เหลือไว้ในเหยือก  แช่ไว้ในตู้เย็นไว้ใช้ดื่มในมื้อต่อไป
  • การต้ม (Decoction)
          การต้มเป็นวิธีการที่สกัดตัวยาสมุนไพรได้ดีกว่าการชง  โดยใช้สมุนไพรสดหรือแห้งต้มรวมกับน้ำ  มักใช้รากไม้  เปลือกไม้  กิ่งก้าน เมล็ดหรือผลบางชนิด
          วิธีการเตรียมทำโดยการหั่นหรือสับสมุนไพรเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ลงในหม้อต้ม  แล้วใส่น้ำลงไปให้ท่วมยาเล็กน้อย  ใช้ไฟขนาดปานกลางต้มจนเดือด  แล้วจึงลดไฟให้อ่อน  ควรคนยาเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้ยาไหม้  ตามตำราไทยมักจะต้มแบบ  3  เอา 1  คือใส่น้ำ 3 ส่วนของปริมาณที่จะใช้  แล้วต้มให้เหลือ  1  ส่วน  แต่บางตำราก็ต้มแบบ  3  เอา 2 เช่นเดียวกับวิธีการชง  ควรทำสดๆ ใช้ในแต่ละวัน  ไม่ควรทำทิ้งไว้ข้ามคืน ดื่มว้นละ 3  ครั้ง  ร้อนหรือเย็นก็ได้
    • ใส่สมุนไพรลงในหม้อต้ม  ใส่น้ำให้ท่วมสมุนไพร  ต้มด้วยไฟปานกลางจนเดือดแล้วจึงหรี่ไฟอ่อน  ต้มต่อไปจนเหลือน้ำ 1 ใน 3
    • รินยาผ่านตะแกรงหรือผ้าขาวบางลงในถ้วยหรือเหยือก  แล้วนำไปดื่มได้ ที่เหลือไว้ในตู้เย็นใช้ดื่มในมื้อต่อไป
  • การดอง (Tincture)
          การดองด้วยเหล้าหรือแอลกอฮอล์นี้  เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการสกัดตัวยาออกจากพืชสมุนไพร  โดยการแช่สมุนไพรสดหรือแห้งในเหล้าหรือแอลกอฮอล์  เหมาะสำหรับสมุนไพรที่มีสารออกฤทธิ์ที่ละลายน้ำได้น้อย  ใช้ได้กับทุกส่วนของสมุนไพร  เหล้าหรือแอลกอฮอล์ที่ใช้ในการดอง  นอกจากจะทำหน้าที่สกัดยาจากสมุนไพร  แล้วยังทำหน้าที่เป็นตัวกันบูดอีกด้วย  ยาดองจึงเก็บไว้ใช้ได้นานเป็นปีเลยที่เดียว
          ตามตำราไทยมักจะใช้เหล้าขาว 28 - 40 ดีกรี  นอกจากใช้เหล้า และเอทิลแอลกอฮอล์แล้ว  ยังสามารถใช้น้ำหมักจากผลไม้  หรือน้ำส้มสายชูในการดองยาก็ได้  แต่จะสกัดตัวยาได้ไม่ดีเท่าเหล้าหรือแอลกอฮอล์  อายะเก็บรักษาก็สั้นกว่า  แต่ราคาจะถูกกว่า  วิธีการดอง  อาจจะใส่สมุนไพรดองในเหล้าโดยตรง  หรืออาจห่อสมุนไพรด้วยผ้าขาวบางแล้วดองในเหล้าตามวิธีตำราไทยก็ได้
 
    • ห่อสมุนไพรด้วยผ้าขาวบางอย่างหลวมๆ เผื่อไว้หากยาพองตัวเวลาอมน้ำ  ใส่ลองในขวดโหลแก้ว  หรือโถกระเบื้อง  เทเหล้าใส่ท่วมห่อยา  ปิดฝาให้สนิท  ตั้งทิ้งไว้อย่างน้อย 1 - 2 สัปดาห์  และต้องเปิดฝาคนให้ทั่ว  วันละ 1 ครั้ง
    • เมื่อดองครบกำหนดแล้ว  เทยาดองใส่ขวด หรือภาชนะสีทึบ  บีบยาดองออกจากห่อผ้าขาวบางให้หมด  ปิดฝาให้สนิท
  • ผง แคปซูล และลูกกลอน
    • สมุนไพรที่จะนำมาบดเป็นผงจะต้องตากให้แห้งสนิท  แล้วจึงนำมาบดเป็นผงด้วยการตำหรืเครื่องบดยา  และต้องบดให้ละเอียดเป็นผง  ใช้ชงน้ำดื่มหรือโรยผสมลงในอาหาร
    • แคปซูล  การบรรจะแคปซูลก็ให้ซื้อแคปซูลเปล่าสำเร็จรูปมา  เทผงสมุนไพรลงในชามแก้วปากกว้าง  ดึงแคปซูลออก  2  ส่วน  จับทั้ง  2  ข้างเข้าหากันผ่านผงยา  แล้วจึงสวมแคปซูลเข้าด้วยกันหรือบรรจุผงยาด้วยเครื่องบรรจุแคปซูลก็ได้
    • ยาลูกกลอน  เอาผงสมุไนไพรใสชามปากกว้าง  เติมน้ำผึ้งทีละน้อย  นวดให้เข้ากันจนผงยาทั้งหมดเกาะกัน  ไม่เหนียวติดมือ  ให้สังเกตปริมาณน้ำผึ้งที่ใช้  โดยปั้นลูกกลอนด้วยมือ  ถ้าเละติดมือ  ปั้นไม่ได้ แสดงว่าน้ำผึ้งมากไป  ให้เติมผงยาเพิ่ม  แต่ถ้าแห้งร่อนไม่เกาะกัน  ปั้นไม่ได้ หรือปั้นได้แต่เมื่อบีบเบาๆ จะแตกร่วน  แสดงว่าน้ำผึ้งน้อยไป  ให้เติมน้ำผึ้งอีก   เมื่อนวดผงยาได้ที่แล้ว  ทำเป็นลูกกลอนได้  2  วิธี คือ การใช้เครื่อง และการใช้มือคลึง  โดยคลึงเป็นเส้นยาวๆ ก่อน  แล้วจึงเด็ดเป็นท่อน ๆ นำมาคลึงด้ว้ยมือจนกลม  ใส่ถาดหรือกระจาดไปอบหรือตากแดด  แล้วจึงนำมาบรรจุขวดหรือภาชนะที่มีฝาปิด

ที่มา : สำนักพิมพ์เกษตรกรรมธรรมชาติ. คู่มือพึ่งตนเอง(ฉบับกระเป๋า).กรุงเทพฯ : รุ่งเรืองสาส์นการพิมพ์. 2547.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น